8 โรคร้ายของวัยทำงาน
พ.ญ.ชัญวลี ศรีสุโข สำนักพิมพ์มติชน 2552.
8 โรคร้ายที่ควรพึงระวังของบุรุษ สตรี วัยทำงานมีอะไร 8 โรคร้ายที่ควรพึงระวังของบุรุษ สตรี วัยทํางานมีอะไร โรคร้ายที่ควรพึงระวังของบุรุษ สตรี วัยทำงานมีอะไรบ้าง ?
โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบจะมีอาการปวดท้องน้อย ปัสสาวะแสบขัด มีเลือดปนออกมา
ปัจจัยเสี่ยงที่ทําให้เกิดโรค :
1.สุขภาพอนามัยไม่ดี
2.ดื่มน้ําน้อย
3.กลั้นปัสสาวะ
4.ปัสสาวะและทําความสะอาดหลังปัสสาวะไม่ถูกวิธี
5. เป็นคนชอบนั่งอยู่กับที่
6. การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกๆ
7. คู่ครองมีเชื้อโรค
8.ท้องผูกหรือท้องเสีย
9.หญิงชราหรือเด็กเล็ก
10.คุณผู้หญิงวัยทอง
11.การคาสายสวนปัสสาวะ
12.โรคนิ่ว ในทางเดินปัสสาวะ
13.เป็นโรคอัมพาต
14.เป็นโรคเบาหวาน
15.รับประทานยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
16.ได้รับรังสีบริเวณกระเพาะปัสสาวะ
17.รูปัสสาวะตีบ
18.การตั้งครรภ์
19.การคุมกําเนิดโดยการสวมห่วงอนามัย ใช้หมวกหรือใช้แผ่นอุดกั้นปากมดลูก
20.โรคต่อมลูกหมากโต
21.อ้วนมากเกินไปหรือผอมมากเกินไป
22.พันธุกรรม
การรักษา : ดูแลตัวเองเบื้องต้น เช่น วิธีการใช้ธรรมชาติบําบัด โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ เว้นการ
กระทบกระเทือน ดื่มน้ําให้มากวันละเกิน 2 ลิตร ไม่กลั้นปัสสาวะ วิธีใช้ยารักษาตามอาการ โดยใช้ยาแก้ปวดท้อง
ยาแก้ปัสสาวะบ่อย วิธีการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานที่ครอบคลุมเชื้อที่มักเป็นสาเหตุ เป็นต้น และการรักษาโดยแพทย์
การป้องกัน :
1.ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ําให้มาก นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกําลังกายเป็นประจํา
2.ดูแลน้ําหนักไม่ให้อ้วนหรือผอม
3.ละเว้นการนอนดึก ดื่มสุรา สูบบุหรี่
4.ดูแลสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล
5.ระวังการทําความสะอาดส่วนสงวน
6.ระวังการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
7.อย่าห่วงงานจนกลั้นปัสสาวะ ไม่ควรนั่งอยู่กับที่นานเกิน 2 ชั่วโมง
8.ไม่ควรกลั้นอุจจาระ
9.หากป่วยเป็นโรคที่ทําให้ภูมิต้านทานต่ํา พยายามดูแลตัวเองตามคําสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้โรคกําเริบซึ่งจะทําให้ติดเชื้อง่าย
โรคปวดหัวไมเกรน เกิดจากการทํางานเครียดปวดหัวมากเหมือนมีอะไรเต้นตุบ ๆ อยู่ภายใน
ปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดโรค :
1.ความเครียดทางกายหรือใจ
2.แสงที่จ้าเข้าตา เสียงที่ดังเข้าหู กลิ่นหอมฉุนของน้ําหอมหรือกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง
3.เป็นภูมิแพ้
4.นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท
5.หิวหรือถึงเวลากินแล้วไม่ได้กินข้าว
6.สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่จากเพื่อนร่วมงาน
7.ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากยาคุมกําเนิด สมุนไพรหรือฮอร์โมนทดแทนการหมดประจําเดือน
8.อาหารบางชนิดซึ่งเป็นกับคนบางคน เช่น กาแฟ เหล้า ช็อกโกแลต นมเนย ไอศกรีม น้ําตาลเทียม ผงชูรส หัวหอม ถั่ว ไส้กรอก ของหมักดอง ปลารมควัน ฯลฯ
9.อากาศร้อนชื้นในบรรดาปัจจัยเหล่านี้ ปัจจัยที่พบมากที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดโรคปวดหัวไมเกรน ได้แก่ ความเครียด พักผ่อนน้อยความหิว และการไม่ได้ดื่มกาแฟ
การป้องกัน : ลดความเครียด ออกกําลังกายเป็นประจํา ไม่นอนดึก ไม่ทํางานจนเกินแรง ไม่อดอาหาร
ไม่รับประทานอาหารที่ทําให้เกิดโรคไมเกรน ไม่รับประทานยาคุมกําเนิด ไม่รับประทานฮอร์โมนทดแทนการหมด
ประจําเดือน ฯลฯ
การรักษา : รักษาด้วยตนเองโดยใช้วิธีธรรมชาติบําบัด เช่น การนวด การประคบเย็น-ร้อน ดื่มชา กาแฟ น้ําขิง
ทําสมาธิ ฝังเข็ม นอนหลับพักผ่อน เป็นต้น รักษาโดยแพทย์ อาการปวดหัวที่บ่งบอกว่าอันตรายหากมีอาการ
ต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ คือ
1.ปวดหัวกะทันหันอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
2.ปวดหัวร่วมกับอาการชัก
3.ปวดหัวและมีการเปลี่ยนแปลงของสติ เช่น เบลอ ซึม โคม่า
4.ปวดหัวหลังจากได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะ
5.ปวดหัวที่มีอาการปวดตาและปวดหูอย่างรุนแรงร่วมด้วย
6.ปวดหัวเรื้อรังที่เป็นติดต่อกันเป็นเวลานาน
7.ปวดหัวในเด็กชนิดเป็นซ้ําแล้วซ้ําอีก
8.ปวดหัวและมีไข้สูง
โรคนิ้วล็อค อาการนิ้วเหยียดไม่ออก กํามือไม่ได้
การดูแลรักษาตนเอง : ต้องแน่ใจว่าเป็นนิ้วล็อกจากการวินิจฉัยจากแพทย์ เห็นควรรีบแก้ไขปัญหาไม่ให้นิ้วล็อกเกิดขึ้น
นาน ๆ เกินไปจะทําให้แก้ไขยาก
ควรปฏิบัติดังนี้
1.หยุดงาน พักผ่อนนิ้ว ดามนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกไว้กับนิ้วข้างเคียงที่ดี
ให้อยู่ในท่างอนิ้วประมาณ 15 องศา นานอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
2.แช่นิ้วที่เป็น (หรือทั้งมือ) ในน้ําอุ่นเพื่อให้เลือด
ไหลเวียนดี การอักเสบลดลง โดยแช่วันละ 2 ครั้ง นานครั้งละ 10-15 นาที 3.ค่อย ๆ นวดนิ้วจากโคนสู่ปลาย ค่อย ๆ
ขยับนิ้วขึ้นลงเบา ๆ เพื่อไม่ให้ข้อยึดด้วยตนเอง หรือไปพบนักกายภาพบําบัดให้ช่วยนวด แช่พาราฟิน หรือใช้อัลตร้าซาวน์
การดูแลรักษาของแพทย์ : หากอาการเป็นมาก นิ้วโค้ง ปวดเวลางอ กํามือไม่ได้ นิ้วข้าง ๆ เริ่มฝืด ควรไปพบแพทย์
การรักษาดังนี้
1.ใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
2.ฉีดสารสเตียรอยด์เข้าไปบริเวณที่เป็นหากใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น เพื่อลดการอักเสบของเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น
3.ในกรณีที่ใช้ยารับประทาน หรือฉีดสารสเตียรอยด์ไม่ได้ผล เป็นมาก หรือมีโรครูมาตอยด์ร่วมด้วย อาจใช้วิธีผ่าตัดเล็ก คือ ฉีดยาชาแล้วใช้ปลายมีดหรือเข็มสะกิด
บริเวณที่ตีบแคบ
4.ผ่าตัดเพื่อปล่อยเอ็นไม่ให้ถูกกดในอุโมงค์ เป็นการผ่าตัดเล็กโดยใช้ยาชา และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
โรคกรดไหลย้อนกลับ หรือเรียกว่า โรคเกิร์ด มีอาการเสียบแปลบที่หน้าอกซ้าย จุกไปถึงด้านหลัง
ปัจจัยเสี่ยง :
1.พันธุกรรม เช่น เด็กดาวน์
2.เป็นโรคไส้เลื่อนกะบังลม
3.เป็นโรคหอบหืด
4.เป็นโรคภูมิแพ้
5.อ้วน
6.ตั้งครรภ์
7.อายุ (40 ปีขึ้นไป) อาจเกิดจากความเสื่อมของหูรูดหลอดอาหารและความสามารถในการย่อยอาหาร
8.เป็นนิ่วในถุงน้ําดี
9.มีกรดมากในกระเพาะอาหาร
10.มีแคลเซียมมากในเลือด
11.รับประทานอาหารมากเกินไป
12.โรคภูมิแพ้บางอย่าง เช่น โรคหนังแข็งหรือทําให้หลอดอาหารผิดปกติ
13.ได้รับสารสเตียรอยด์
14.การสูบบุหรี่
15.ความเครียด
16.อาหารบางอย่าง เช่น อาหารที่เพิ่มกรด อาหารที่ย่อยยาก เป็นต้น
17.ยาบางชนิดที่ทําให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมาก อาหารและกรดคั่งค้างในกระเพาะอาหาร หรือหูรูดหลอดอาหารคลายตัว เช่น
แอสไพริน ยาขยายหลอดลม ยาแก้หดเกร็ง ยาลดการเต้นของหัวใจ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยากล่อม
ประสาท ยากันแท้ง วิตามินซี เป็นต้น
การดูแลรักษา :
การดูแลรักษาด้วยตนเองโดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนี้
1.การกินอาหารควรมีความระมัดระวังเกี่ยวกับอาหารที่ทําให้เป็นเกิร์ดได้
2.ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
3.การใช้ยาที่ต้องหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงทําให้เกิดเกิร์ด
4.ควบคุมน้ําหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
5.การนอนควรสวมเสื้อผ้าที่เบาสบายและควรนอนตะแคงซ้ายเพื่อลดอาการเกิร์ด นอนให้หัวสูงพอประมาณ
6.การแต่งกายไม่ควรรัดเอวมากเกินไป การนั่ง การยืนให้ถูกสุขลักษณะพยายามลดความเครียด
โรคริดสีดวงทวารหนัก โรคนี้อย่าไปล้อเล่นกับมัน เพราะมันอาจทําให้คุณเสียชีวิตได้
ปัจจัยเสี่ยง :
1.อายุ
2.อ้วน
3.ท้องผูกเรื้อรัง
4.การนั่งห้องน้ําแบบโถชักโครกเป็นเวลานาน
5.ดื่มน้ําน้อย
6.ท้องเสีย
7.อาหาร
8.การรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์ของนมสําหรับคนที่แพ้นมหรือขาดเอ็นไซม์ย่อยนม
9.ดื่มเหล้า
10.สูบบุหรี่
11.ดื่มน้ําชา กาแฟ สารกาเฟอีน
12.ใช้ยาระบายบ่อยครั้งเกินไป
13.ตั้งครรภ์
14.มีชีวิตสงบ คือ ไม่ค่อยใช้พลังงาน
15.นุ่งเสื้อผ้าคับ หรือสวมกางเกงที่รัดแน่นมาก
16.ผู้หญิงที่มีกลุ่มอาการก่อนเป็นประจําเดือน PMS(Premenstrual syndrome) คือ ชนิดกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
17.ท่านั่งท่ายืนที่ไม่เหมาะสม
18.มีการกระทบกระเทือน ระคายเคือง หรือมีแผลเรื้อรังจากการร่วมรักทางทวารหนัก
19.ขาดวิตามินอีและซี
ความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวารหนัก ที่แบ่งระดับโดย Banov มี 4 ระดับ ซึ่งมีความรุนแรงจากน้อยไปหามาก คือ
ระดับหนึ่ง : มีอาการของโรคริดสีดวงทวารหนักแต่ยังไม่มีก้อนยื่นออกมาให้เห็นนอกทวารหนัก
ระดับสอง : มีก้อนโผล่ออกมาเมื่อเบ่งถ่าย หยุดเบ่งถ่ายก้อนจะผลุบเข้าไปเอง
ระดับสาม : มีก้อนโผล่ออกมา สามารถใช้มือดันเข้าไปในทวารหนักได้
ระดับสี่ : มีก้อนโผล่ออกมาตลอด ไม่สามารถดันเข้าไปในทวารหนักได้
การดูแลตนเองเพื่อป้องกัน :
1.ลดน้ําหนักหากน้ําหนักมากเกินไป
2.ระมัดระวังไม่นั่งหรือยืนนานจนเกินไป
3. ออกกําลังกายเป็นประจํา
4.ไม่ร่วมรักทางทวารหนัก
5.ไม่ยกของหนัก
6.ไม่เบ่งถ่ายรุนแรง
7.ขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นการบริหารกล้ามเนื้อทวารหนักที่เรียกว่า Kegel exercise
8.ดื่มน้ําให้เพียงพอ
9.กินอาหารที่มีวิตามินอีและซี
10.รับประทานอาหารที่มากากใยทุกวัน
11.ไม่ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่
12.ดื่มน้ําชา-กาแฟ วันละไม่เกิน 1-2 แก้ว
13.หากท้องเสียต้องรักษา
14.ทําความสะอาดทวารหนักให้สะอาดหลังการขับถ่ายทุกครั้ง
การรักษา :
1.เฝ้าดูอาการ
2.ธรรมชาติบําบัด
3.พบแพทย์เพื่อรักษา โดยการใช้ยาและการผ่าตัด
โรคปวดกล้ามเนื้อและข้อ หากมีอาการปวดไหล่จนยกของหรือใช้แขนไม่ได้ต้องไปหาหมอ
เพราะมันจะเกี่ยวพันกับกระดูกต้นคอ
สาเหตุเกิดจาก :
1.เอ็นอักเสบ
2.กล้ามเนื้อและเอ็นเสื่อมสภาพ
3.ถุงหุ้มข้ออักเสบ
4.ข้ออักเสบ
อาการปวดไหล่ที่ควรไปพบแพทย์ ได้แก่ ปวดไหล่จนยกของหรือใช้แขนไม่ได้ ได้รับบาดเจ็บจากการ
กระทบกระทั่งทําให้ข้อไหล่ผิดรูปร่าง ปวดจนนอนไม่หลับ ปวดจนยกแขนไม่ขึ้น มีอาการบวมรอบ ๆ ข้อไหล่
มีไข้ ข้อไหล่บวมแดง มีก้อนขึ้นที่ข้อไหล่ หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ
การรักษา :
1.การรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้น ประกอบด้วย พักผ่อน ประคบร้อนและประคบเย็น และการเลือกใช้
ยาต้านอักเสบ
2.การรักษาโดยทางการแพทย์ ประกอบด้วย ฉีดสารสเตียรอยด์ แพทย์ทางเลือก (ฝังเข็ม นวดกดจุด
จัดกระดูก อบสมุนไพร ฯลฯ) และการผ่าตัด
โรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ลักษณะจะมีอาการปวดหลังและร้าวมาที่ขาทั้งสองข้าง
ปวดจนต้องตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก หรือปวดจนเดินไม่ได้
การรักษา : โดยใช้วิธีธรรมชาติบําบัดหรือพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรักษาเบื้องต้น ได้แก่
1.พักผ่อน
2.ประคบเย็นในกรณีที่รู้สึกปวดและให้ประคบบริเวณกระดูกสันหลังที่กดแล้วปวด
3.ประคบร้อนในกรณีที่กล้ามเนื้อหลัง แขนขาเกร็งเพื่อจะช่วยลดอาการเกร็งได้
4.ออกกําลังกายแบบยืดกล้ามเนื้อจะช่วยลดอาการปวดได้
5.นอนโดยให้นอนบนกระดานหรือพื้นหรือที่นอนที่แข็ง
6.นวดอย่างถูกวิธี
7.จัดกระดูกสันหลัง
8.เรียนรู้อิริยาบถต่าง ๆ
9.ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
10.ธาราบําบัด
11.กายภาพบําบัด
12.ไปพบแพทย์
13.สวมปลอกคอ
14.ไปพบแพทย์เพื่อฝังเข็ม โดยการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน ได้แก่ 1.เลือกใช้ยาในการรักษาภาวะอาการปวด 2.การผ่าตัด
โรคทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ หอบหืด ในขณะนี้กําลังเป็นโรคยอดนิยมของคนเมือง
ปัจจัยเสี่ยง :
1.พันธุกรรม
2.สิ่งแวดล้อมที่มีสารแปลกปลอมซึ่งได้รับการกระตุ้นจากการสัมผัส
3.ความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน
ชนิดของโรคภูมิแพ้ :
1.ทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้จมูกอักเสบ ไข้ละอองฟาง หรือหอบหืด
2.ภูมิแพ้ทางผิวหนัง เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ผื่นมีน้ําเหลืองย้อยที่ผิวหนัง
3.ภูมิแพ้ที่ตา
4.ภูมิแพ้รุนแรงจนช็อก
5.แพ้อาหาร
การป้องกันภูมิแพ้ด้วยตนเองในเบื้องต้น :
1.สังเกตตัวเองว่าแพ้อะไรให้หลีกเลี่ยง
2.ดูแลสถานที่พักอาศัยให้ปราศจากสิ่งก่อให้เกิดภูมิแพ้
3.หลีกเลี่ยงหรือระวังการรับประทานอาหารที่อาจทําให้เกิดภูมิแพ้
4.เลือกอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
5.เสริมจุลินทรีย์ เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
6.ไม่รับประทานอาหารเสริมมากเกินไป
7.ออกกําลังกายตามที่ชอบ เหมาะสมเป็นประจําสม่ําเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน ๆ ละครึ่งชั่วโมง
8.ลดความเครียดโดยการนั่งสมาธิ โยคะ ฟังเพลง ทํางานอดิเรก ฯลฯ เพื่อช่วยผ่อนคลายและลดอาการภูมิแพ้ได้
9.รักษาตามแนวแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทย
การรักษา : โรคภูมิแพ้ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะรักษาได้แต่อาการ แต่หากมีอาการแพ้หรือสงสัยควรไปพบแพทย
---------------------------------------------------------------------
สนใจสั่งซื้อสอบถามผลิตภัณฑ์งานวิจัย APCO
ทีมงานนักวิจัยOperationBIM
ทางไลน์สะดวกที่สุดคลิกที่นี่
Line id : wisutat
โทร.0942364639