ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว อาหารเสริมกระตุ้นเม็ดเลือดขาว
ผู้ป่วยที่รับยาเคมีเพื่อรักษามะเร็ง แล้วมีระดับของเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ (ค่าปกติ 5000-10000 เซลล์/มม3 อาจใช้เกณฑ์ต่ำกว่า3000 เซลล์/มม3 จึงใช้ยา)
โดยทั่งไปแพทย์จะฉีดกระตุ้นเม็ดเลือดขาวก่อนที่จะให้ยาเคมีบำบัดครั้งต่อไป ซึ่งยานี้ได้มาจากเทคโนโลยีทางด้านอณูชีววิทยาและด้านวิศวพันธุกรรมศาสตร์ ยานี้มี 2กลุ่มคือ
1.Garnulocyte colony-stimulating factors (G-CSFs) เช่น Filgrastim Lenograstim
Nartograstim Pegfilgrastim (pegylated filgrastim) ที่ใชัมากที่สุด คือ Filgastim รคาประมาณหลอดละสองพันบาท
2.Garnulocyte macrophage colony-stimulating factors (GM-CSFs) เช่น Sargramostim Molgramostim Regramostim ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงมากกว่ากลุ่มแรก
ยาดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มของไชโตคายน์ ที่มีบทบาทสำคัญในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และพัฒนาการของเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกไปเป็นเซลล์เม็ดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์เม็อเลือดขาวชนิดมีแกรนูล ที่คอยจับกินเชื้อโรค ผลข้างเคียงของยา อาจพบได้แต่ไม่รุนแรง ดังนี้ 20-30% ของผู้ที่ได้รับยามีอาการปวดกระดูกหรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ้าง เนื่องจากมีการเร่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวจากไขกระดูกอย่างรวดเร็ว
บางครั้งมีไข้หรือผื่นแดงตามผิวหนัง
อาจมีอาการท้องร่วง
บริเวณที่ฉีดยามรอาการบวมน้ำ
ความดันโลหิตลดต่ำชั่วคราว
สารเคมีบางอย่างในร่างกายสูงขึ้น เช่น LDH AP serum uric acid และ gamma glutamyl tranpeptidase กลับมาปกติเมื่อหยุดยา บทความจาก หนังสือ รู้ลึก รู้ทัน มะเร็ง ตับ-ปอด
-------------------------------------------------------------------
ระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเป็นระบบที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิต ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ดูแลตัวเอง เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ไวรัส หนอนพยาธิ ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีอยู่ทั่วร่างกาย เปรียบเหมือนกองทัพทหารที่ป้องกันประเทศ ประกอบด้วย ต่อมน้ำเหลือง (เป็นที่อยู่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว) คือ หน่วยทหาร และท่อน้ำเหลือง ที่ภายในจะเป็น น้ำเหลือง และเซลล์เม็ดเลือดขาว เชื่อมต่อระหว่างต่อมน้ำเหลืองด้วยกันเอง และเชื่อมต่อเข้ากับเส้นเลือด คือ เส้นทางเดินทัพของทหาร ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล Payer's patch ที่อยู่ตามเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นที่ตั้งฐานทัพของทหาร สิ่งแปลกปลอมต่างๆ รวมทั้งจุลชีพก่อโรคจะผ่านเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองจากตำแหน่งที่เข้าสู่ร่างกาย เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองเฉพาะที่ และผ่านทางเส้นเลือดและท่อน้ำเหลืองกระจายไปทั่วร่างกาย
เซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน สร้างมาจาก stem cells ที่อยู่ในไขกระดูก แบ่งเป็น
1) เซลล์ที่ทำหน้าที่กินสิ่งแปลกปลอม เช่น macrophage, monocyte, neutrophil
2) เซลล์ที่มี granule จำนวนมาก ได้แก่ eosinophil, basophil และ
3) เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า เซลล์ลิมโฟไซท์ (lymphocyte) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ B cells และ T cells
B cells ทำหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำที่เรียกว่า แอนติบอดี โดยที่ B cell จะถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน แล้วจึงเปลี่ยนเป็น plasma cells เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น
T cells ทำหน้าที่ด้านการตอบสนองทางด้านเซลล์ เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือจุลชีพแบ่งเป็น
เซลล์ CD4 หรือ helper T (Th) cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD4 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ส่งเสริมเรียกเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่น เช่น B cell ในการสร้างแอนติบอดี
จำเพาะ และ T cells เพื่อการเปลี่ยนเป็น cytotoxic T cells (CTL) ดังนั้น CD4+ T cells จึงมีความสำคัญมาก เพราะมีส่วนร่วมในการทำให้มีภูมิคุ้มกัน ทั้งแบบเซลล์และ
สารน้ำ
เซลล์ CD8 หรือ killer cells หรือ suppressor cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD8 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือที่ติดเชื้อจุลชีพ เซลล์เม็ดเลือดขาวพวกนี้จะรู้ได้ว่าเซลล์ชนิดใดเป็นสิ่งแปลกปลอม จากที่เซลล์ชนิดนั้นไม่มีโมเลกุลที่ผิวเซลล์ HLA class I ชนิดเดียวกับเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้น ส่วนสิ่งแปลกปลอมที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เรียกว่า แอนติเจน (antigen)และตำแหน่งบนแอนติเจนที่จำเพาะในการกระตุ้นเรียกว่า epitopeแบ่งเป็น B-cell epitope กระตุ้น B-cell เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะ และ T-cell epitope กระตุ้น T-cell
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพขายดี ราคาถูก ส่งฟรีถึงบ้าน ทั่วประเทศ